วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

แบบทดสอบ หลักฐานทางประวัติศาสตร์

วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2

เริ่มจากการที่เยอรมันโจมตีฉนวนโปแลนด์ เมื่อวันที่ 1 กันยายน ค.ศ.1939 และโปแลนด์ปฏิเสธที่จะยกเมืองท่าด่านซิก และฉนวนโปแลนด์ให้กับเยอรมันเพื่อเป็นทางออกทะเล  อังกฤษและฝรั่งเศสได้ยื่นคำขาดให้เยอรมันยุติการกระทำดังกล่าว แต่ไม่ได้รับการตอบสนองจากเยอรมัน โดยฮิตเลอร์  ทำให้อังกฤษและฝรั่งเศสต้องประกาศสงครามในวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 1939

หลังจากนั้นเยอรมันก็ได้เข้ายึดครองดินแดนต่างๆ ในยุโรปอีกหลายประเทศ ทำให้ตอนแรกเป็นฝ่ายได้เปรียบในสงคราม ซึ่งในตอนแรกสหรัฐอเมริกายังวางตัวเป็นกลาง แต่จากการที่เยอรมันได้ขยายสงครามแบบไร้ขอบเขตจมเรือสินค้าของสหรัฐอเมริกา จึงทำให้สหรัฐอเมริกาเข้าร่วมกลุ่มฝ่ายพันธมิตรและเริ่มมีชัยชนะต่อฝ่ายอักษะตั้งแต่กลางปี ค.ศ. 1942 จนในที่สุดเยอรมันก็ประสบความพ่ายแพ้เป็นครั้งแรกในเมืองสตาลินกราด ในสหภาพโซเวียต


หนังการสู้รบที่ เมืองสตาลินกราด


คอยติดตามต่อไปนะครับผม

วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สงครามโลกครั้งที่ 2

หลังจากสงครามโลกครั้งที่1 สิ้นสุดได้ไม่นาน ก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นสงครามที่เกิดขึ้นในระหว่างปี ค.ศ.1939-1945 สงครามในครั้งนี้กินเวลาถึง 10 ปี สาเหตุก็คือ ประเทศเยอรมันที่แพ้สงคราม มองว่า ตนเองถูกเอารัดเอาเปรียบมากจนเกินไปจากประเทศที่ชนะสงคราม จากการที่ทำ สนธิสัญญาแวร์ซายส์ ทำให้ต้องสูญเสียอาณานิคมในดินแดน สูญเสียผลประโยชน์ทางด้านการค้าอย่างมหาศาล ส่วนต่างๆถูกควบคุมอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านการทหารและการเกิดขึ้นของลัทธิชาตินิยม หรือลัทธิทหารซึ่งเกิดขึ้นในประเทศต่างๆในยุโรป ทั้งในเยอรมันและอิตาลีด้วย


สงครามโลกครั้งที่2
สงครามโลกครั้งที่2


สาเหตุของการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 

1. ความบกพร่องของสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ซึ่งเป็นสนธิสัญญาสันติภาพระหว่างผู้ชนะกับผู้แพ้สงคราม ภายหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยฝ่ายผู้แพ้ซึ่งก็คือเยอรมันมองว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมเท่าที่ควร ส่วนผู้ชนะสงครามก็ไม่พอใจในผลประโยชน์ที่ได้รับ ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุของการนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 2

2. การเกิดลัทธิจักรรดินิยม เป็นการขยายอิทธิพลของชาติตะวันตกเข้าไปครอบครองดินแดนอื่น รวมไปถึงการเข้าไปครอบครองประเทศในชาติตะวันตกด้วยกันเอง เช่น ใน ปี ค.ศ. 1938 เยอรมันได้รวมออสเตรียเข้าไปในดินแดนของตน และในปี ค.ศ.1939 ก็ได้รับเอาประเทศเชคโกสโลวาเกียเป็นส่วนหนึ่งของตนอีก

3. ความขัดแย้งของอุดมการทางการเมือง ที่นำไปสู่ชาติมหาอำนาจทั้ง 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายอักษะที่เป็นเผด็จการทหาร ประกอบด้วย เยอรมัน อิตาลี ญี่ปุ่น  อีกฝ่ายก็คือ ฝ่ายพันธมิตรเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ประกอบไปด้วย อังกฤษ ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา ซึ่งประเทศมหาอำนาจทั้งสองฝ่ายมีนโยบายที่แตกต่างกัน โดยฝ่ายอักษะมีนโยบายในการสร้างความเป็นใหญ่ให้กับชาติของตนและแสดงแสนยานุภาพทางการทหาร แต่ฝ่ายพันธมิตรมีนโยบายประนีประนอม จึงทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้น

4. ลัทธิชาตินิยมที่เกิดขึ้นในหลายประัเทศในยุโรป เช่น ในเยอรมัน อิตาลี และญี่ปุ่น โดยผู้นำพยายามปลุกกระแสความรักชาติให้กับประชาชน เพื่อเรียกศักดิ์ศรีประเทศของตนกลับคืนมาเป็นนโยบายการสร้างชาติให้ยิ่งใหญ่ พัฒนากองทัพให้มีความเข้มแข็ง เกิดผู้นำที่เป็นเผด็จการหลายคน เช่น ฮิตเลอร์ ของเยอรมัน มุโสเลนีของอิตาลี เป็นต้น

5. ความอ่อนแอขององค์กรสันนิบาตชาติ เป็นองค์กรสันติภาพที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ประสบความล้มเหลวไม่สามารถระงับและหยุดยั้งการรุกรานดินแดนอื่นของมหาอำนาจฝ่ายอักษะได้ เพราะไม่มีกองกำลังทหารเป็นของตนเองและขาดการสนับสนุนอย่างจริงจังจากสหรัฐอเมริกา

ติดตาม ประวัติศาตร์ ม.3 ได้ในตอนต่อไปนะครับ ^^


วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สงครามโลกครั้งที่1



เป็นปัญหาความขัดแย้งระดับโลกที่เกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ. 1914-1918 ระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตร ประกอบด้วย อังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย และฝ่ายมหาอำนาจกลาง ประกอบด้วย เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี และอิตาลี ซึ่งไม่เคยปรากฏสงครามขนาดใหญ่ที่มีทหารหรือสมรภูมิเกี่ยวข้องมากขนาดนี้มาก่อน ซึ่งคาดว่ามีจำนวนทหารประมาณ 70 ล้านนาย


สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเกิดจากความขัดแย้งทางการเมืองของทวีปยุโรป โดยเป็นจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของยุโรป การสิ้นสุดของจักรวรรดิออตโตมัน เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาของการปฏิวัติรัสเซีย การพ่ายแพ้ของประเทศเยอรมนีในสงครามครั้งนี้ ส่งผลให้เกิดลัทธิชาตินิยมขึ้นในประเทศ และเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อ ค.ศ. 1939    

ความเป็นมา

ในสมัยบิสมาร์คเป็นผู้นำในการสร้างจักรวรรดินิยมเยอรมัน เมื่อบิสมาร์ครบชนะฝรั่งเศส และประกาศจักรวรรดิเยอรมันแล้วจึงดำเนินการตั้ง The Three Emperor's League ซึ่งแสดงความเป็นสัมพันธมิตรระหว่าง เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี และรัสเซีย ด้วยเจตนาสำคัญประการแรกคือ ป้องกันการแก้แค้นของฝรั่งเศส ต่อมาภายหลังเมื่อออสเตรีย-ฮังการี และรัสเซีย ขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์กัน จนมิอาจเป็นพันธมิตรต่อกันได้ บิสมาร์คจึงชักชวนอิตาลีเข้าแทนที่รัสเซีย จึงเกิด Triple Alliance ขึ้น
ครั้งบิสมาร์คหมดอำนาจลง จักรพรรดิเยอรมัน (Kaiser Wilhelm II) ทรงเลิกนโยบายเป็นพันธมิตรกับรัสเซีย และสร้างความไม่พอใจให้อังกฤษด้วยการเริ่มโครงการขยายกองทัพเรือและขยายอิทธิพลดินแดนตะวันออก ฝรั่งเศสจึงได้โอกาสเสริมสร้างสัมพันธไมตรีกับรัสเซียและเข้าใจอันดีกับอังกฤษ และในที่สุดเมื่อทั้งสามมหาอำนาจตกลงในความขัดแย้งเรื่องอาณานิคมที่เคยมีต่อกันได้แล้ว จึงจัดตั้ง Triple Entente ในปี ค.ศ. 1907

จุดแตกหักเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1914 เมื่อ อาร์คดยุคฟรานซิส เฟอร์ดินัลด์ (Archduke Francis Ferdinand) มกุฎราชกุมารแห่งออสเตรีย-ฮังการีและพระชายาถูกลอบปลงพระชนม์ที่เมืองซาราเจโวในแคว้นบอสเนีย โดยนักศึกษาชาตินิยมชาวเซอร์เบีย ชื่อ กาวริลโล ปรินซิป (Gavrilo Princip)รัฐบาลออสเตรีย-ฮังการีจึงตัดสินใจจะทำลายล้างเซอร์เบียให้ราบคาบ และเมื่อได้รับแรงสนับสนุนจากเยอรมนี จึงยื่นข้อเรียกร้องที่เซอร์เบียไม่อาจยอมรับได้ ออสเตรีย-ฮังการีจึงประกาศสงครามกับเซอร์เบีย รัสเซียได้เข้าสนับสนุนเซอร์เบียและระดมพลเตรียมต่อสู้ เยอรมนีจึงได้เรียกร้องมิให้รัสเซียและฝรั่งเศสเข้ามาแทรกแซง ครั้นสองมหาอำนาจไม่ปฏิบัติตาม เยอรมนีจึงประกาศสงครามกับรัสเซียในวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1914 และฝรั่งเศสในวันที่ 3 สิงหาคม ค.ศ. 1914 ตามลำดับ

หลังจากเยอรมนีประกาศสงครามกับรัสเซียและฝรั่งเศสแล้ว ได้เคลื่อนกำลังพลเข้าละเมิดความเป็นกลางของประเทศเบลเยียมเพื่อขอเป็นทางผ่านในการบุกฝรั่งเศส อังกฤษซึ่งเป็นมหาอำนาจของโลกจึงประกาศสงครามกับเยอรมนีในวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1914 มหาอำนาจในยุโรปจึงเข้าสู่สงคราม ยกเว้นอิตาลีที่เข้าร่วมในปี ค.ศ. 1915

ฝ่ายเยอรมนี ออสเตรีย-อังการี อิตาลีได้ตุรกีและบัลแกเรียเป็นพันธมิตร ตุรกีเข้าโจมตีจักรวรรดิเปอร์เซีย บัลแกเรียเข้าผนวกโรมาเนีย แอลเบเนีย และโจมตีกรีซ ซึ่งต่อมาถูกเรียกโดยรวมว่าฝ่ายมหาอำนาจกลาง (Central Powers) ส่วนอังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามฝ่ายพันธ-มิตร (the Allies)ได้ประเทศต่าง ๆ อีกหลายประเทศเข้าร่วม รวมทั้งประเทศในเอเชีย เช่น จีน ญี่ปุ่น แต่ในปี ค.ศ. 1917 รัสเซียได้ถอนตัวออกจากสงครามครั้งนี้ เนื่องจากเลนินผู้นำกลุ่มบอลเชวิคส์ทำการปฏิวัติทางการเมืองขึ้นในรัสเซีย และสหรัฐอเมริกาก็ได้เข้ามาแทนที่รัสเซีย หลังจากเยอรมนีประกาศจะใช้เรือดำน้ำทำลายเรือข้าศึกและเรือสินค้าของทุกชาติโดยไม่มีขอบเขต สำหรับประเทศไทยได้เข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตรเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 1917 โดยส่งทหารอาสาสมัครเข้าร่วมรบในสมรภูมิยุโรปจำนวน 1200 คน

ในช่วงแรกของสงคราม มหาอำนาจกลางเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่หลังจากที่อเมริกาเข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตร พร้อมกับส่งอาวุธยุทโธปกรณ์และกำลังพลเกือบ 5 ล้านคน ทำให้พันธมิตรกลับมาได้เปรียบและสามารถเอาชนะฝ่ายมหาอำนาจกลางได้อย่างเด็ดขาด ในที่สุดเมื่อฝ่ายมหาอำนาจกลางยอมแพ้และเซ็นต์สัญญาสงบศึกเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 สงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งกินระยะเวลายาวนาน 4 ปี 5 เดือนจึงยุติลงอย่างเป็นรูปธรรม 






ประวัติศาสตร์ ม.3

วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อารยธรรมไบแซนไทน์ (Byzantine)



เกิดขึ้นหลังจากโรมันล่มสลาย ในช่วงปี ค.ศ. 476 ดินแดนจักรวรรดิโรมันตะวันออกหรือจักรวรรดิไบแซนไทน์ (Byzantine) ปกครองอย่างเป็นอิสระ ได้ขยายอาณาเขตไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลดำ สร้างกรุงคอนสแตนติโนเปิลเป็นเมืองหลวง ต่อมาได้ขยายอาณาเขตไปยังตอนใต้ของประเทศสเปน อิตาลี และตอนเหนือของทวีปแอฟริกาจึงเกิดการผสมผสานระว่างวัฒนธรรมโรมันตะวันตกกับวัฒนธรรมโรมันตะวันออกเข้าไว้ด้วยกัน จักรวรรดิไบแซนไทน์ได้รวบรวมกฎหมายของโรมันให้เป็นหมวดหมู่ เรียกว่า ประมวลกฎหมายจัสติเนียน (Justinian Code) และเป็นแม่บทของประมวลกฎหมายยุโรปในสมัยต่อมา

ประวัติศาสตร์ ม.3

ยุโรปสมัยกลาง

สมัยกลาง


ประมาณปี ค.ศ. 360 จักรวรรดิโรมันได้แยกออกเป็น 2 จักรวรรดิ ได้แก่ โรมันตะวันตก และ โรมันตะวันออก โดยจักรวรรดิโรมันตะวันตกมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรม ส่วนจักรวรรดิโรมันตะวันออกมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล โดยมีการปกครองแบบหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ ระบบบฟิลดัล (Feudalism) หรือ คล้ายกับระบบศักดินาในประเทศไทย โดยเป็นระะบบอุปถัมภ์ระหว่างผู้มีสิทธิในที่ดิน หรือ ลอร์ด (Lord) กับผู้ที่ได้รับมอบกรรมสิทธิในที่ดิน หรือ วัสซัล (Vassal) ซึ่งระบอบนี้เกิดจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันที่จักรพรรดิไม่สามารถควบคุมดินแดนอันกว้างขวางได้ จึงต้องแบ่งการปกครองไปให้ขุนนางที่เป็นเจ้าของที่ดินได้อันกว้างใหญ่ได้

ประวัติศาสตร์ ม.3